Online-to-Offline (O2O) ปรับธุรกิจ จากออนไลน์สู่ออฟไลน์

1,741 views

ปรับธุรกิจปัง ก้าวทันการตลาดยุคใหม่ผ่านกลยุทธ์ Online-to-Offline (O2O)

 

ในยุคที่ธุรกิจไม่ได้มีเพียงแค่การขาย แต่ยังมีแนวคิดมากมายที่จะกระตุ้นให้ก้าวทันการตลาดยุคสมัยใหม่และหนึ่งในนั้นคือ แนวคิด Online-to-Offline (O2O) ซึ่งไม่ได้จำกัดการขายอยู่เพียงร้านค้าในรูปแบบเดิม ๆ แต่จะก้าวสู่โลก O2O ที่มีการผสมระหว่างจุดแข็งของร้านค้าในโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน

 

และเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น เราจะพาไปทำความรู้จักกับกลยุทธ์แบบ O2O คืออะไร ทำไมแบรนด์ต่าง ๆ ถึงนิยม พร้อมข้อดีและตัวอย่างแบรนด์ที่ทำ O2O จนประสบความสำเร็จ

 

 

O2O Marketing คืออะไร

O2O ย่อมาจากคำว่า Offline to Online ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการนำข้อดีของการขายสินค้าออนไลน์และการนำเอาบริการที่ดีของออฟไลน์มาช่วยยกระดับบริการออนไลน์ให้ดีขึ้นซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์อีกรูปแบบหนึ่ง โดยจัดให้มีหน้าร้านเพื่อลูกค้าสามารถเข้าไปเลือก หรือลองสินค้าและบริการได้ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถซื้อสินค้าออนไลน์และไปรับหน้าร้านที่สาขาใกล้ ๆ ได้อีกด้วย

 

ข้อดีของตลาดแบบ O2O Marketing

ด้วยข้อดีที่ผสานระหว่างออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกันทำให้ส่งผลดีมากมายทั้งต่อธุรกิจ กลุ่มเป้าหมาย ระบบออนไลน์และออฟไลน์ ดังนี้

 

ต่อแบรนด์

ข้อดีคือ ช่วยเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นทั้งในออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์การชอปปิ้งออนไลน์ให้ผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงยังช่วยควบคุมมาตรฐานการบริการอย่างดีเยี่ยมและสามารถเก็บข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนาแผนในการตลาดที่เพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้คงที่

 

ต่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

ข้อดีคือ มีตัวเลือกในการเลือกซื้อสินค้าที่มากขึ้น หลากหลายช่องทาง พร้อมทั้งยังได้รับการบริการและข้อมูลเหมือนกันจากทุกช่องทางการขายและยังได้รับบริการแบบเดียวกันทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมถึงความสะดวกสบายในการจัดส่งสินค้าถึงหน้าบ้าน

 

ต่อระบบ Online

ข้อดีคือ ช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการในการซื้อสินค้าและบริการผ่านการทำสื่อโฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็น การแสดงความรู้สึก การกดถูกใจ การแชร์ หรือการรีวิวสิน้ค้าจากผู้ใช้งานจริง รวมถึงการเก็บข้อมูล พฤติกรรมของลูกค้าและการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

 

ต่อระบบ Offline

ข้อดีคือ กลุ่มเป้าหมายสามารถเลือกซื้อสินค้า บริการต่าง ๆ ผ่านการสัมผัสและทดลองใช้งานจริงซึ่งช่วยร่วมสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อแบรนด์และยังสามารถเดินทางมารับสินค้า หรือบริการได้ที่สาขา หรือร้านค้าได้โดยตรง

 

 

O2O Marketing ตัวอย่างแบรนด์ที่นำมาใช้

O2O Marketing ได้ถูกนำมาใช้ในแบรนด์สินค้าและบริการอย่างแพร่หลายซึ่งเราขอยกตัวอย่างผ่าน 4 บริษัทยักษ์ใช้ที่นำกลยุทธ์มาใช้ในปัจจุบัน

 

  1. LINE MAN ซึ่งเป็นแอปลิเคชันแตกย่อยออกมาจาก Line โดยถูกนำมาใช้ในบริการเดลิเวอรี่ที่ตอบโจทย์ทั้ง 4 ด้านตามความต้องการในการขนส่งทั้งด้านเอกสาร อาหาร สินค้าและการคมนาคมซึ่งเชื่อมโยงทั้งธุรกิจออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกันได้อย่างดีเยี่ยม

     

  2. Alibaba โมเดลธุรกิจค้าปลีก O2O ในประเทศจีนที่โด่งดังมากที่สุด โดยสามารถพลิกโฉมวงการธุรกิจค้าปลีกด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการชอปปิงที่เชื่อมโยงเอาสินค้าในโลกออฟไลน์ สินค้าในโลกออนไลน์และระบบการขนส่งสินค้า (Logitics) รวมถึงการนำเอา Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมต่าง ๆ

     

  3. Alipay จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญของ Alibaba ในการให้บริการชำระเงินค่าสินค้าและบริการซึ่งไม่เพียงในจีน แต่ยังถูกขยายมากยังต่างประเทศ อย่างประเทศไทยที่สามารถใช้ชำระค่าสินค้าในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับโรงพยาบาลต่าง ๆ ในการให้บริการรักษาพยาบาลแบบเคลื่อนที่และสามารถชำระเงิน หรือรับผลตรวจผ่าน Alipay ที่จะเชื่อมโยงข้อมูลกับบัตรประกันสุขภาพของรัฐบาลเพื่อดำเนินการในการเบิกค่าใช้จ่ายต่อไป

     

  4. Ele.Me บริษัทส่งอาหารชื่อดังที่ตั้งอยู่นครเซี่ยงไฮ้ที่เปิดให้บริการธุรกิจ Food Delivery ซึ่งบริษัทร่วมลงทุน Alibaba และ Tencent ที่ได้มีการร่วมลงทุนที่มีส่วนเสริมความแข็งแรงให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถชำระเงินออนไลน์และยังเชื่อมต่อกับ Alipay ได้อีกด้วย

 

Online to Offline (O2O) ในอนาคตยังน่าสนใจไหม ?

 

เทรนด์ธุรกิจในอนาคตคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีลูกเล่นใหม่ให้เราได้พบเห็นอีกมากมายและการดำเนินธุรกิจคงไม่ได้ถูกจำกัดแค่บนออนไลน์และออนไลน์ที่นำมาผสานทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของสองธุรกิจเข้าด้วยกันซึ่งย่อมส่งผลดีต่อธุรกิจในระยะยาวผ่านการเรียนรู้ที่จะปรับตัวโดยเชื่อมโยงธุรกิจจาก Offline มาสู่ Online จากการใช้โซเชียลมีเดียต่าง ๆ อาทิ Facebook, Line, Twitter, Instagram, Tiktok, Pinterest เป็นต้น

 

โดยการนำมาผสมผสานต่อยอดกับธุรกิจหน้าร้านให้เกิดประโยชน์สูงสุดและตรงกับกลุ่มเป้าเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินการธุรกิจออนไลน์ให้เติบโตมากยิ่งขึ้นซึ่งถ้าหากยังนึกภาพไม่ออกขอยกตัวอย่างเช่น

  • ร้าน KFC ที่ในอดีตมีแค่หน้าร้านให้ Walkin กับโทรสั่งเพื่อให้เขามาส่ง แต่ ณ ปัจจุบันเราสามารถสั่งออนไลน์แล้วค่อยขับรถไปรับตรงจุด Drivethru หรือใครที่ชอบเดินทาง แต่ไม่อยากแวะพักก็สามารถขับรถไปสั่งแบบ Drivethru ได้เช่นเดียวกัน

     

  • โรงพยาบาลเองก็เคยเปิดรับการตรวจโควิดแบบ Drivethru เพื่อลดการสัมผัส ไม่ต้องไปนั่งรอโรงพยาบาล แถมยังใช้เวลาตรวจยืนยันผลไม่นาน

     

  • แบรนด์สินค้าต่าง ๆ ที่มีบริการให้สั่งสินค้าออนไลน์และสามารถไปรับที่สาขาใกล้เคียงได้อีกด้วย เช่น H&M, Unique เป็นต้น

 

สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้าด้วยการเชื่อมโยงทั้งออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกันได้อย่างดีเยี่ยมและในอนาคต O2O ก็ยังคงเหมาะต่อการนำไปใช้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดต่อผู้บริโภค 

 

 

มาถึงตรงนี้! ก็คงจะเห็นได้ค่อนข้างชัดว่าการผสมผสานแบบ Online to Offline ด้วยช่องทางออนไลน์เข้ามาเชื่อมต่อกับออฟไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและการขนส่งต่าง ๆ อาทิ กลุ่มธุรกิจเดลิเวอรี่เติบโตขึ้นเป็นอย่างมากเพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยลดข้อจำกัดทางด้านเวลาและต้นทุนในการเดินทาง รวมถึงการสร้างทางเลือกใหม่ให้ผู้บริโภคเป็นอย่างดีซึ่งหลาย ๆ ธุรกิจที่มีทั้งหน้าร้านและขายออนไลน์ก็ลองนำ O2O ไปลองประยุกต์ใช้ดูเพราะในอนาคตการทำธุรกิจแบบ O2O ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

 

สนใจใช้ระบบจัดการร้านค้าครบวงจร

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

โทร 02-026-6423

Line: @zort

0
Would love your thoughts, please comment.x
()
x