ไม่ต้องฮาร์ดเซลก็ขายออกได้ กับ 7 เทคนิคการขายสินค้าให้น่าสนใจ

บางคนอาจเข้าใจว่าเทคนิคการขายที่ดี ต้องฮาร์ดเซลเท่านั้นแต่ไม่จำเป็นเสมอไป ในปัจจุบันคนเริ่มชอบวิธีการขายของที่มีเรื่องราวมากกว่าแต่ก่อน ยิ่งถ้ามีวิธีการพูดขายสินค้าในแบบของตัวเองก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก อยากรู้ว่าทำยังไงให้ขายดี ลองใช้ 7 เทคนิคการขายสินค้าตามนี้ รับรองลูกค้าติดใจ กลับมาซื้อซ้ำแน่นอน

1. เจาะลึก Insight ของกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด

เทคนิคการขายข้อแรก ต้องจำไว้ว่าความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นอกจากความสนใจอยากซื้อสินค้าแล้ว พฤติกรรมการใช้งานสินค้า การใช้จ่าย หรือกระบวนการตัดสินใจซื้อ เป็นสิ่งที่เราสามารถวิเคราะห์และดึงออกมาใช้เป็นวิธีขายของให้น่าสนใจได้ 

ตัวอย่างเช่น พัดลมชาร์ปใหม่ เพราะปัจจุบันคนไทยนิยมแต่งบ้านสไตล์มินิมอล ชาร์ปจึงดีไซน์พัดลมให้มีลวดลายเรียบ นอกจากนี้ในตัววิดีโอโฆษณายังเจาะลึกพฤติกรรมการใช้พัดลมของคนไทย ที่มักจะใช้เท้าในการกดปุ่มเปิดปิดพัดลม พร้อมใช้วิธีการพูดขายสินค้าด้วยคำว่า “สวย ทน ใช้ไม่ต้องกังวล” เพื่อให้คนรู้สึกว่าทนทานต่อการใช้งาน

2. ใช้จุดอ่อนของคู่แข่งให้เป็นประโยชน์

การใช้จุดอ่อนของคู่แข่งเป็นอีกเทคนิคการขายอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้ลูกค้าหันมาสนใจสินค้าของเรามากขึ้น โดยต้องทำให้พวกเขารู้สึกว่าสินค้าเราดีกว่าและตอบโจทย์กับพวกเขา เช่น ต้องการสื่อสารให้กลุ่มคนที่เลือกออมเงินแทนการลงทุน เพราะกลัวรับความเสี่ยงไม่ได้ ให้เขากลับมาลงทุนมากขึ้น

แทนที่จะพูดถึงข้อดีของการลงทุนของเรา ก็เปลี่ยนวิธีการพูดขายสินค้าเป็นการพูดถึง “จุดอ่อน” ของการออมเงินแทนว่า สินค้าราคาแพงขึ้นทุกวัน แค่การออมเงินในบัญชีอาจไม่เพียงพอ เทคนิคนี้จะช่วยให้คนเข้าใจถึงความเสี่ยงกับการออมเงินเพียงอย่างเดียว และหันมาสนใจลงทุนมากขึ้นนั่นเอง

3. ขายจุดเด่นหรือจุดแข็งของสินค้าให้ชัดเจน

วิธีการขายของด้วยการพูดถึงจุดแข็ง ต้องสื่อสารให้ชัดเจนและไม่พูดถึงอย่างอื่นเลย ตัวอย่างเช่น โฆษณาตู้เย็นจากแบรนด์ SMEG จะเน้นการสื่อสารเรื่องดีไซน์ที่สวยงาม มีความมินิมอลเพียงอย่างเดียว ไม่พูดถึงฟังก์ชันของตัวตู้เย็น แต่ก็ทำให้ลูกค้าสนใจอยากมีไว้ที่ห้องครัว แม้ว่าราคาจะแพงเหยียบแสนก็ตาม

4. สื่อสารทั้งในแง่ Function และ Emotion

วิธีขายของให้น่าสนใจหลังจากที่พูดถึงถึงจุดแข็งของสินค้าไปแล้ว ก็ให้เสริมความเป็น Emotion เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์และลูกค้าเข้าไปด้วย เช่น รองเท้ากีฬา Nike ที่สื่อสารทั้งฟังก์ชันการใช้งานและการสื่อสารผ่านสโลแกน “Just do it” เพื่อให้ผู้คนนำแรงบันดาลใจมาผลักดันสู่การลงมือทำตามเป้าหมาย

5. Storytelling ช่วยธุรกิจธรรมดา ๆ ให้โดดเด่นขึ้นได้

การนำ Storytelling เข้าไปผูกกับสินค้าให้ดูมีที่มาและเรื่องราว เป็นเทคนิคการขายที่สามารถช่วยให้สินค้าทั่วไปดูโดดเด่นขึ้นมาได้ และหากเล่าเรื่องได้ดี อาจทำให้เกิดไวรัลและขายสินค้าได้แพงกว่าเดิมด้วย

ตัวอย่างเช่น Butter Bear แบรนด์ขนมชื่อดัง นอกจากการใช้กลยุทธ์มาสคอต ทางแบรนด์ยังใช้วิธีขายของให้น่าสนใจด้วยการผูกเรื่องราวของน้องหมีเนย ให้เป็นหมีที่ขี้เล่นซุกซน เต้นเก่ง ร้องเพลงได้ และเป็นเด็กอนุบาล ทำการบ้านส่งคุณครูและอวดคะแนนให้กับพี่ ๆ ในด้อมน้องหมีเนย ให้แฟนคลับรู้สึกว่าหมีเนยมีตัวตนและมีชีวิตจริง ๆ ถือเป็นเทคนิคการขายที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ 

6. ต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมายของตัวเอง

เพราะกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ต้องใช้วิธีการสื่อสารที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น วิธีการพูดขายสินค้าสำหรับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มก็ควรมีวิธีโพสต์ขายของให้น่าสนใจที่แตกต่างกัน รวมถึง Message ที่จะสื่อก็ควรตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายนั้น ๆ ด้วย 

เช่น โฆษณาขายเครื่องดูดฝุ่น สำหรับกลุ่มครอบครัว มีความต้องการเรื่องความทนทาน และฆ่าเชื้อโรคได้ดี ก็สื่อสารด้วย Message ที่ว่า “ผู้ปกป้องดูแลคนในบ้านให้ปลอดภัยและอยู่อย่างมีความสุข” ส่วนกลุ่มไลฟ์สไตล์ที่ต้องการฟังก์ชันที่รวดเร็ว ก็สื่อสารด้วย “ผู้เติมเต็มชีวิต ลดภาระ ที่ช่วยให้ทำในสิ่งที่รัก” เป็นต้น

7. ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าทำไมพวกเขาต้องซื้อ 

โดยใช้เทคนิคการขายแบบ What + Why + How ตัวอย่างเช่นแบรนด์ Baseus ต้องการทำโฆษณาที่ทุบกระจกรถ เริ่มด้วย What บอกว่าสินค้านี้คือปืนยิงกระจกแตกต่างจากค้อนทุบกระจกทั่วไป Why สิ่งนี้จะช่วยให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุรถตกน้ำได้ และปิดท้ายด้วย How คือการบอกขั้นตอนการใช้งาน

จะเห็นได้ว่า วิธีขายของให้น่าสนใจไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว ซึ่งแต่ละสินค้าอาจจะใช้วิธีการพูดขายสินค้าที่เหมาะสมกับแบรนด์หรือจะใช้ทั้งหมดเลยก็ได้ อย่างไรก็ตาม เทคนิคการขายที่ดีคือการสื่อสารที่เข้าใจกลุ่มเป้าหมายและตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้มากที่สุด

สนใจใช้ระบบจัดการร้านค้าครบวงจร

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

โทร 02-026-6423

Line: @zort