Marketing Mix คืออะไร? กลยุทธ์ที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องรู้
หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า Marketing Mix ผ่านหูมาบ้าง แต่ยังไม่เคยรู้จริง ๆ ว่ามันคืออะไร สำคัญแค่ไหน หรือจะนำไปใช้กับร้านเล็ก ๆ บน Shopee หรือเพจ Facebook ได้อย่างไร บอกเลยว่ายุคนี้ ใครเข้าใจ Marketing Mix ได้ก่อน ก็มีโอกาสชนะใจลูกค้าก่อน! เพราะกลยุทธ์นี้เปรียบเสมือน “พิมพ์เขียว” ที่ช่วยให้เจ้าของร้านสามารถวางแผนธุรกิจได้อย่างเป็นระบบ มองเห็นทุกองค์ประกอบสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการขาย ตั้งแต่ตัวสินค้า ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย ภาพลักษณ์ของแบรนด์ ไปจนถึงประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับ
Highlight & Summary
- Marketing Mix คือ ส่วนประสมทางการตลาดที่ช่วยวางกลยุทธ์ธุรกิจ โดยผสมผสาน 7 องค์ประกอบหลัก (7Ps) ให้สอดคล้องกัน เพื่อสร้างยอดขายและประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า
- องค์ประกอบของ Marketing Mix 7Ps คือ Product, Price, Place, Promotion, People, Process และ Physical Evidence
- ZORT ช่วยให้การจัดการทุก P ง่ายขึ้น ด้วยระบบหลังบ้านที่ครบครัน ทั้งจัดการสต๊อก ออเดอร์ โปรโมชัน และรายงานยอดขายแบบเรียลไทม์ในที่เดียว
Marketing Mix คืออะไร?
Marketing Mix คือ ส่วนประสมทางการตลาด ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานในการวางกลยุทธ์ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า บริการ หรือการทำการตลาดออนไลน์ โดยเน้นการผสมผสานองค์ประกอบทางการตลาดให้สอดคล้องกัน เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายและสร้างยอดขายได้อย่างยั่งยืน
Marketing Mix มีอะไรบ้าง? 7Ps ที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ควรรู้
แนวคิด Marketing Mix 7Ps คือ การพัฒนาเพิ่มเติมมาจาก 4Ps แบบดั้งเดิม (Product, Price, Place, Promotion) เพื่อให้ครอบคลุมธุรกิจบริการและธุรกิจออนไลน์มากขึ้น โดย Marketing Mix 7Ps ประกอบไปด้วย
1. Product (สินค้า)
หากสินค้าที่คุณนำเสนอไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาหรือความต้องการของลูกค้าได้ ก็ยากที่จะเกิดยอดขายซ้ำหรือการบอกต่อ ดังนั้น พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ควรเริ่มจากการตั้งคำถามให้ชัดเจนว่า สินค้าของคุณช่วยแก้ไขปัญหาอะไรให้ลูกค้า จุดขายหลักของสินค้าคืออะไร และมีความแตกต่างหรือโดดเด่นจากคู่แข่งอย่างไร
2. Price (ราคา)
ราคาคือสิ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อโดยตรง แล้วยังสามารถบ่งบอกถึง “ภาพลักษณ์” ของแบรนด์ได้อีกด้วย ก่อนที่จะตั้งราคาขาย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องรู้ต้นทุนที่แท้จริงของสินค้า แล้วคิดราคาขายโดยคำนึงถึง Margin ที่ต้องการ ความสามารถในการแข่งขันในตลาด และความคุ้มค่าที่ลูกค้าจะได้รับ นอกจากนี้ ยังควรเตรียมแผนการตั้งราคาที่หลากหลาย เช่น โปรโมชันช่วงเปิดตัว ส่วนลดช่วงเทศกาล หรือการตั้งราคาสินค้าแบบเซตเพื่อเพิ่มยอดรวมต่อบิล
3. Place (ช่องทางจัดจำหน่าย)
การเลือกช่องทางขายมีผลต่อทั้งยอดขายและต้นทุนในการจัดการ เช่น ขายของผ่าน Marketplace แม้จะมีฐานลูกค้าจำนวนมาก แต่ก็อาจเจอการแข่งขันด้านราคาที่หนัก ในขณะที่การขายผ่านเว็บไซต์หรือ LINE OA อาจให้ Margin ที่ดีกว่า แต่ก็ต้องสร้างฐานลูกค้าเอง โดยเทคนิคที่ควรคำนึงถึง เช่น การเปิดหลาย ๆ ช่องทางเพื่อกระจายความเสี่ยง การบริหารสต๊อกให้ตรงกันทุกช่องทาง และการมีระบบหลังบ้านที่สามารถรวมยอดขายและยอดสั่งซื้อเข้าด้วยกันได้อย่างไร้รอยต่อ
4. Promotion (การส่งเสริมการตลาด)
การสื่อสารและกระตุ้นความสนใจลูกค้าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะในยุคที่การไถหน้าจอเกิดขึ้นตลอดเวลา การส่งเสริมการขายจึงต้องสามารถสร้างแรงจูงใจได้ทันที และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “ต้องซื้อเดี๋ยวนี้” โดยรูปแบบการโปรโมตที่มักได้ผล เช่น การลดราคาแบบ Flash Deal การแถมของเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อสร้างความประทับใจ การใช้รีวิวจริงจากลูกค้าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถึง ตลอดจนการทำคอนเทนต์ที่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้า เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์การเป็นผู้เชี่ยวชาญให้กับแบรนด์
5. People (บุคลากร)
แม้ร้านค้าออนไลน์บางร้านจะไม่ได้มีหน้าร้านจริง แต่ “คน” ก็ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความประทับใจแก่ลูกค้าได้ หากคุณมีทีมงานแอดมินที่ตอบแชทไว มีน้ำเสียงเป็นมิตร หรือแม้แต่พนักงานแพ็กของที่ใส่ใจในการห่อสินค้า ทั้งหมดล้วนเป็นประสบการณ์ที่ลูกค้าจดจำ ดังนั้น พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ควรวางแนวทางการสื่อสารให้เป็นมาตรฐาน ฝึกอบรมทีมให้เข้าใจสินค้าอย่างลึกซึ้ง และแสดงความเป็นมืออาชีพเสมอ แม้จะเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ก็ตาม
6. Process (กระบวนการ)
ธุรกิจออนไลน์ที่เติบโตได้เร็ว คือธุรกิจที่มีระบบหลังบ้านที่ดี เพราะเบื้องหลังของความราบรื่น คือกระบวนการจัดการที่ชัดเจนและเป็นระบบ โดยตัวอย่างกระบวนการสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ได้แก่ ระบบสั่งซื้อที่เข้าใจง่าย การอัปเดตสต๊อกแบบเรียลไทม์ กระบวนการแพ็กและจัดส่งที่มีมาตรฐาน และการจัดการเปลี่ยน/คืนสินค้าที่ชัดเจน
7. Physical Evidence (หลักฐานทางกายภาพ)
ต่อให้ลูกค้าจะช็อปผ่านช่องทางออนไลน์ แต่พวกเขาก็ยังต้องการสิ่งที่เรียกว่า “หลักฐานเชิงรูปธรรม” ที่ช่วยยืนยันว่าธุรกิจของคุณน่าเชื่อถือและจะมอบประสบการณ์ที่ดีได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ รูปถ่ายของสินค้า แพ็กเกจจิงที่ดูดี รีวิวจากผู้ใช้จริง ใบเสร็จหรือบัตรรับประกันที่มาพร้อมกับสินค้า โดยแบรนด์ที่ใส่ใจในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังกล่าว มักจะมีอัตราซื้อซ้ำ (Repeat Rate) สูงขึ้น เพราะลูกค้ารู้สึกมั่นใจและพึงพอใจทุกครั้งที่ซื้อ
รู้จัก Marketing Mix ให้ดี แล้วใช้ ZORT ให้เป็น
เมื่อเข้าใจแล้วว่า Marketing Mix คืออะไรและมีอะไรบ้าง ก็จะเห็นชัดเจนเลยว่า การขายของออนไลน์ให้ปังไม่ใช่ต้องมีองค์ประกอบทั้ง 7Ps ที่สอดคล้องกัน แต่การลงมือทำให้ครบทุก P อาจเป็นเรื่องยากสำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องทำทุกอย่างคนเดียว หรือมีทีมเล็ก ๆ ตรงนี้เองที่ ZORT เข้ามาเป็น “ผู้ช่วยมืออาชีพ” ที่จะทำให้คุณบริหารจัดการธุรกิจได้ง่ายขึ้นในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการสินค้าให้เป็นระบบ พร้อมซิงค์สต๊อกทุกช่องทางแบบเรียลไทม์ รวมออเดอร์จาก Shopee, Lazada, Facebook, LINE OA และเว็บขายของในที่เดียว รองรับธุรกิจที่กำลังโต พร้อมต่อยอดสู่ระบบจัดการที่เป็นมืออาชีพยิ่งขึ้น
สรุป
ในโลกออนไลน์ที่ทุกคนมีพื้นที่ให้ขายของเท่ากัน สิ่งที่จะทำให้ร้านของคุณ “แตกต่าง” ไม่ใช่ทุนที่มากกว่า แต่คือ “การวางกลยุทธ์ที่แม่นยำกว่า” การเข้าใจส่วนประสมทางการตลาดจึงเปรียบเสมือนการมีแผนที่ธุรกิจที่ชัดเจน ช่วยให้คุณมองเห็นโอกาส ปรับปรุงจุดอ่อน และเดินเกมการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้คุณจะเป็นร้านเล็ก ทีมเล็ก หรือขายคนเดียว ก็สามารถวางระบบแบบมืออาชีพได้เช่นกัน เพียงเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับคุณอย่าง ZORT ผู้ช่วยเบื้องหลังที่เข้าใจพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ และออกแบบมาเพื่อให้คุณบริหารธุรกิจได้อย่างเป็นระบบ
สนใจใช้ระบบจัดการร้านค้าครบวงจร
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร 02-026-6423
Line: @zort