กลยุทธ์ Less is More ทำการตลาดแบบเรียบง่าย แต่ผลลัพธ์ทรงพลัง

16 views

กลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ “Less is More” ทำแค่ “สิ่งที่ใช่” เท่านั้น

โฆษณาที่เห็นจนเบื่อ ข้อความโปรโมชันที่ส่งมาทุกวัน หรือแจ้งเตือนสินค้าทุก ๆ วินาที สิ่งเหล่านี้คือประสบการณ์ที่ผู้บริโภคได้รับแทบทุกวัน การหว่านแหทำโฆษณาจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดในยุคนี้ แต่ “เลือกทำแค่สิ่งที่ใช่” เท่านั้นที่จะตอบโจทย์ ZORT พาคุณมารู้จักกลยุทธ์การตลาดยุคใหม่หรือการตลาด Less is More ที่จะช่วยดึงดูดผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด

 

Highlight & Summary

  • กลยุทธ์ Less is More เป็นการสื่อสารทางการตลาดที่พุ่งตรงไปหากลุ่มเป้าหมายเท่านั้น โดยถูกสถานที่และเวลา เพื่อลดต้นทุนและเวลาในการทำแคมเปญโฆษณา
  • กลยุทธ์นี้จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในฝั่งผู้บริโภคที่ต้องแจ้งเตือนจากแบรนด์หรือเห็นโฆษณาซ้ำ ๆ จนเกิดความรำคาญ
  • ในฝั่งแบรนด์ช่วยให้รู้ว่าคนให้ความสนใจกับแพลตฟอร์มไหนเป็นหลัก และสามารถวางแผนการตลาดได้อย่างเหมาะสม

กลยุทธ์ Less is More มีหลักการยังไง

การตลาด Less is More เป็นการพุ่งโฟกัสการสื่อสารไปหากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ เพราะหากเลือกทำการตลาดแบบไม่รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใคร นอกจากผลลัพธ์จะไม่เป็นไปตามคาด ยังทำให้เสียเวลาและต้นทุนจำนวนมากอีกด้วย รวมถึงการสื่อสารนั้นต้องถูกแพลตฟอร์ม ถูกสถานที่และเวลา ไม่มากจนเกินไป เพราะการทำการตลาดแบบโจมตีหากลุ่มเป้าหมายมากเกินไป จะทำให้พวกเขาเกิดความรำคาญและเกิดประสบการณ์ลบกับแบรนด์ แทนที่จะได้ลูกค้าอาจเสียลูกค้าไปแทน

 

กลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ Less is More ต้องทำอย่างไรถึงจะเวิร์ค

จะเห็นได้ว่าแนวคิดการตลาดน้อยแต่มากเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ และเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน ว่าแล้วก็มาดูกันต่อเลยว่าถ้าจะทำการตลาด Less is More ให้เวิร์คนั้น ต้องทำอะไรบ้าง

รู้จักลูกค้าให้ได้มากที่สุด

ไม่ใช่แค่การทำการตลาด Less is More เท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเริ่มทำแคมเปญโฆษณาใด ๆ ก็ตาม คุณต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร ต้องการอะไร ชอบอะไร พฤติกรรมเป็นแบบใด ชอบเสพสื่ออะไร เป็นข้อมูลพื้นฐานที่ควรรู้เป็นอันดับแรก ให้คุณรู้ว่าต้องสื่อสารไปหาใคร ใช้ช่องทางไหน ช่วยให้การสื่อสารของแบรนด์มีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนอีกด้วย

 

สื่อสารแบบตรงจุดและตอบโจทย์

แนวคิดที่ว่าการแจ้งเตือนถี่ ๆ ลูกค้าจะหันมาสนใจนั้นโละทิ้งไปได้เลย ตามกลยุทธ์ Less is More แล้วต้องเปลี่ยนจากโฆษณาที่เยอะจนล้นเป็นการทำโฆษณาที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ตัวอย่างเช่น มีป้ายโปรโมชัน Pop Up ขึ้นมา สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ชอบเลือกดูสินค้าบนเว็บไซต์ของคุณ หรือแจ้งส่วนลดพิเศษผ่านลูกค้าที่เป็นสมาชิกทาง SMS วิธีการสื่อสารเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสนใจให้กลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี

 

แคมเปญไหนปัง คุณได้ไปต่อ!

หลังจากที่ทดลองทำการตลาดไปได้สักพักแล้ว นักการตลาดและนักโฆษณาต้องคอยติดตามและวัดผลแคมเปญตั้งแต่วันแรก ถ้าพบว่าแคมเปญไหนที่มีประสิทธิภาพ ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายหรือมากกว่าที่คาดไว้ ก็ให้พัฒนากลยุทธ์การตลาดยุคใหม่นี้ต่อไป ส่วนแคมเปญไหนที่ผลลัพธ์ออกมาไม่ดี แต่สามารถปรับปรุงได้ก็ให้แก้ไข เช่น มีคนเข้ามาที่เว็บไซต์มากขึ้น แต่ยังไม่เกิด Conversion ใด ๆ อาจลองปรับเนื้อหาหรือหน้า UX/UI ให้น่าดึงดูดมากขึ้น เป็นต้น

 

ประโยชน์ของการทำการตลาด Less is More

จากลูกค้าทั่วไปสู่ลูกค้าประจำของแบรนด์

การสื่อสารที่ตรงใจ ตรงจุด และตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย จะทำให้พวกเขารู้สึกผูกพันกับแบรนด์ (Brand Loyalty) ผันตัวจากลูกค้าทั่วไปกลายเป็นลูกค้าเจ้าประจำที่มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าไปเรื่อย ๆ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ยังทำให้แบรนด์ได้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพ เพราะกลยุทธ์ Less is More ทำให้แบรนด์รู้ว่ากลุ่มลูกค้าหลักเป็นใคร ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและลงทุนทำโฆษณาไปหากกลุ่มคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีแนวโน้มจะสนใจหรือซื้อสินค้าของแบรนด์นั่นเอง

มุ่งเน้นการตลาดไปยังแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพ

ในช่วงที่ทำการทดลองแคมเปญการตลาด จะช่วยให้แบรนด์รู้ว่าแพลตฟอร์มไหนที่มีคนสนใจและเกิด Conversion เยอะที่สุด รู้ว่าต้องลงเงินทำโฆษณาไปที่แพลตฟอร์มใดเป็นหลัก และลดสัดส่วนงบการตลาดในช่องทางอื่นที่ลูกค้ามีส่วนร่วมน้อยไปตามลำดับ

มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

เพราะเป็นการทำการตลาดที่ไม่เยอะจนเกินไป และรับรู้ถึงสิ่งที่แบรนด์ต้องการสื่อสารอย่างชัดเจน ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกถูกบังคับให้เห็นโฆษณา อีกทั้งยังทำให้รู้สึกดีและยังคงจะภักดีกับแบรนด์ต่อไปด้วย

การตลาด Less is More เป็นกลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ที่อาจดูธรรมดาแต่มากด้วยประสิทธิภาพอันทรงพลัง ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจจากการสื่อสารที่ตรงใจ และเกิดความเชื่อถือเชื่อใจในตัวแบรนด์ ในฝั่งของแบรนด์ก็ช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้น แถมยังเป็นการลดต้นทุนในการทำโฆษณาที่ไม่เห็นผลอีกด้วย