5 เทคนิค ทำเพจขายของบน Facebook ยังไงให้ขายดี
ร้านค้าไหนอยากทำเพจให้ขายดี หรือใครที่มีเพจร้านค้าบน Facebook อยู่แล้วแต่อยากดันยอดขายให้ดีขึ้น ลองมาดูวิธีขายของในเฟสให้ขายดี 5 เทคนิคต่อไปนี้แล้วนำไปปรับตามกันได้เลย
ก่อนจะไปดูเทคนิคการสร้างเพจขายของให้ปัง เราต้องรู้วิธีการสร้างเพจก่อนว่ามีขั้นตอนอย่างไร ซึ่งวิธีการสร้างเพจ Facebook ขายของนั่นง่ายมากไปทำตามกันเลย!
ขั้นตอนที่ 1 สร้างเพจขายของ (Facebook Page)
บอกเลยว่า วิธีการสร้างเพจ Facebook ขายของนั่นง่ายมากเพียงแค่มี Facebook
- เข้าไปที่ https://www.facebook.com/pages/create
- จากนั้นเลือกประเภทของเพจขายของ ที่คุณต้องการ
ขั้นตอนที่ 2 ใส่รายระเอียด
การสร้างเพจขายของจำเป็นอย่างมากที่จะต้องใส่รายละเอียดให้ชัดเจน และจำง่าย
- เลือกหมวดหมู่
- คลิก “ดำเนินการต่อ”
ขั้นตอนที่ 3 ตั้งรูปโปรไฟล์ และภาพ
วิธีการสร้างเพจ Facebook ให้น่าสนใจ การตั้งรูปโปร์ไฟล์ที่ดึงดูดการเป็นอีกหนึ่งคีย์หลักที่เราต้องทำการบ้าน
เลือกรูปโปรไฟล์ (ขนาด 180 x 180 px)
กด ‘อัปโหลดรูปโปรไฟล์’
จากนั้นเลือกรูปปก
เลือกภาพปก (Cover Image) (ขนาด 1,640 x 856 px)
กด ‘อัปโหลดรูปภาพหน้าปก’
โดยทริคในการเลือกรูปปกในการสร้างเพจยังไงให้ปัง คือการบอกโปรโมชั่นอย่างชัดเจน และขนาดที่เหมาะสมทั้งใน Desktop และ โทรศัพท์
ขั้นตอนที่ 4 ตั้งข้อมูลร้านค้า
วิธีสร้างเพจ Facebook ให้น่าสนใจ รายละเอียดของร้านค้าต้องใส่อย่างครบถ้วน ว่าแล้วก็ตามไปพิมพ์ กันเลย
กด ‘เพิ่มคำอธิบายสั้นๆ’ เพื่อเข้าสู่กระบวนการตั้งค่าข้อมูลเพจร้านขายของของเรา ซึ่งจะให้เราใส่ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเพจ วิธีการติดต่อกับร้าน ตำแหน่งที่ตั้งร้าน วันและเวลาเปิด-ปิดร้าน (สามารถกดข้ามและย้อนมาใส่ภายหลังได้ ให้เข้าไปที่ ตั้งค่า ▶︎ ข้อมูลเพจ) แล้วไปกรอก เพื่อสร้างเพจขายของ ให้สมบูรณ์กันเลย!
ขั้นตอนที่ 5 สร้าง URL ให้ร้านค้า
โดยเทคนิคการตั้งชื่อนั้น ควรเป็นชื่อพิมพ์ง่ายๆ จำง่ายๆเพื่อให้แฟนเพจหรือลูกค้าที่ติดตามเราสามารถหาเราเจอได้ง่ายๆ ขั้นตอนนี้จึงต้องมีความประณีตเป็นพิเศษ หากยังคิดไม่ออกสามารถกดข้ามได้
กด ‘สร้างชื่อผู้ใช้ของเพจ’ ที่อยู่ใต้ภาพโปรไฟล์ (Profile Image) จากหน้าแรกของเพจ
เมื่อเราสร้างเพจขายของใน Facebook สำเร็จ ก็ถึงเวลาแล้วที่จะไปเรียนรู้ “สร้างเพจยังไงให้ปัง” จนชาจินี้ก็แพ็คของไม่ทัน อยากรู้แล้วก็ไปชมเลยกับวิธีสร้างเพจให้ดัง!
1.) ตั้งชื่อเพจดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
สิ่งแรกที่ร้านค้าควรคำนึงถึงเวลาจะเปิดเพจสำหรับขายของคือการตั้งชื่อเพจให้น่าสนใจ แต่จะตั้งชื่อเพจให้ปังต้องทำยังไง ง่าย ๆ ลองทำตามหลักการต่อไปนี้
- ต้องค้นหาง่าย: ตั้งชื่อเพจให้สามารถสะกดได้ง่าย หลีกเลี่ยงการใช้อักขระพิเศษโดยไม่จำเป็น เพื่อให้ลูกค้าสามารถค้นหาเพจเราได้ง่ายและเร็วที่สุด
- ชื่อเพจต้องไม่ซ้ำ: ลองนึกภาพว่าเราเป็นลูกค้าแล้วกำลังจะหาร้านที่ชื่อ Happy Shop ปรากฎว่าผลการค้นหาขึ้นมาเป็น 10 แล้วลูกค้าจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนคือร้านของคุณ? ฉะนั้นร้านค้าของคุณควรมีชื่อที่แตกต่างจากเพจอื่น ๆ
- ควรสื่อถึงธุรกิจหรือสินค้าของร้าน: ลูกค้าหลาย ๆ ท่านเวลาต้องการซื้อสินค้าสักชิ้น อาจเริ่มจากการค้นหา Keyword สินค้าที่เขาต้องการ ดังนั้นแล้วการใส่สินค้าหรือ Keyword ทีเกี่ยวข้องจะช่วยให้ลูกค้าค้นพบร้านค้าของเราได้ง่ายขึ้น และจะเป็นการทำเพจให้ขายดีมากยิ่งขึ้น
2.) โพสต์ลงช่วงเวลาที่ผู้ติดตามเพจออนไลน์เยอะ ๆ
โพสต์ขายของแต่ละที ทำไม Reach และ Engagement ไม่กระเตื้องเลย? หากคุณกำลังเจอปัญหานี้ อย่าเพิ่งรีบเสียเงิน Boost โพสต์ ลองปรับช่วงเวลาในการโพสต์ขายสินค้าให้ตรงกับช่วงเวลาที่ลูกค้าที่ติดตามเพจออนไลน์อยู่มากที่สุด จะเป็นวิธีโพสต์ขายของให้คนเห็นเยอะที่สุด เราสาสามารถเช็คช่วงเวลาที่ลูกค้าของร้านออนไลน์มากที่สุดได้ง่าย ๆ โดยวิธีต่อไปนี้
- ไปที่เมนู ข้อมูลเชิงลึก
- เลือกหัวข้อ โพสต์
- จะพบกับกราฟแสดงช่วงเวลาที่ผู้ติดตามเพจของเราออนไลน์มากที่สุดในแต่ละวัน ร้านค้าสามารถนำข้อมูลเชิงลึกตรงนี้ไปปรับใช้กับการโพสต์ขายของ แต่ต้องระวังเวลาที่แสดงในกราฟนั้นเป็นเวลามาตรฐานโซนแปซิฟิค ร้านค้าต้องปรับให้เป็นเวลาท้องถิ่นไทยโดยนำเวลาโซนแปซิฟิคมาบวก 15 ชั่วโมง ก็จะกลายเป็นเวลามาตรฐานไทย
3.) ใช้ Cover Photo ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ภาพ Cover Photo ของเพจก็สำคัญไม่แพ้โพสต์ เพราะเวลาลูกค้ากดเยี่ยมชมเพจของเรา สิ่งแรกที่ทุกคนจะเห็นคือภาพ Cover Photo ร้านค้าจึงควรใช้งานพื้นที่ตรงนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยอาจใช้ภาพในการทำ Branding ให้ร้านค้าเป็นที่รู้จัก หรือใช้แจ้งโปรโมชั่น โฆษณาสินค้าใหม่ หรือแคมเปญใหม่เป็นต้น
นอกจากนี้ร้านค้าควรออกแบบไซส์ภาพ Cover ให้เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้รายละเอียดสำคัญของภาพถูกตัดทอน โดยขนาดภาพที่แนะนำสำหรับ Facebook Cover คือ 820 pixels x 462 pixels
4.) ใส่ปุ่ม Call to Action (CTA)
ร้านค้าสามารถกระตุ้นการมีส่วนร่วมระหว่างร้านค้ากับลูกค้าได้โดยการเพิ่มปุ่ม Call to Action ปุ่ม Call-to-Action คือ ปุ่มหรือป้าย Banner ที่มีการฝัง Link ของหน้าเว็บไซต์ที่ต้องการไว้ เมื่อลูกค้าคลิกปุ่มดังกล่าวแล้วก็จะพาผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ที่ตั้งค่าไว้ หรืออาจะเป็นหน้า Facebook Messenger
ตัวอย่างของ Call-to-Action มีให้เลือกด้วยกันหลายแบบ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน เช่น
- Sign Up (สมัคร)
- Message (ส่งข้อความ)
- Download the App (ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น)
- Buy Now (ซื้อเลย)
- Order Yours (สั่งเพื่อเป็นเจ้าของ)
- Book Now(จองเลย)
5.) เล่นกับกระแส
การเล่นกับสิ่งที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในโลกออนไลน์สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการขายให้กับสินค้าของเรามากขึ้น นอกจากนีั้ หากโพสต์ของร้านค้าสามารถเรียกความสนใจได้มากก็จะกระตุ้นให้เกิดการแชร์ในโลกโซเชียล ซึ่งเป็นการเพิ่มการมองเห็นให้กับแบรนด์หรือร้านค้าได้มากโดยที่ไม่ต้องเสียเงินยิงโฆษณาออนไลน์เลยสักบาทเดียว ตัวอย่างร้านค้าที่ใช้วิธิเล่นกับกระแสและประสบความสำเร็จมากคือ ร้านบิ๊กเต้ – Big Te Shop ร้านค้านีัเป็นร้านค้าโชว์ห่วยเล็ก ๆ ธรรมดาแถวย่านรังสิต แต่กลับเป็นที่รู้จักกันอย่างมากบนโลกโซเชียลจนมีผู้ติดตามเพจกว่า 71,623 คน เพราะการโพสต์ขายของที่ทันกับกระแสข่าวปัจจุบัน ทำให้มีลูกค้าแวะเวียนกันไปอุดหนุนและเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ
พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของผ่านเพจ Facebook สามารถลองนำเทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้ไปลองปรับใช้กันได้ตามความเหมาะสมเลย รับรองว่าจะเห็นได้ถึงความแตกต่างเลยทีเดียว ส่วนใครที่กำลังมองหาตัวช่วยในการจัดการการขายออนไลน์ให้เป็นเรื่องง่าย ปรึกษา ZORT ได้เลยวันนี้ เรามีทีมงานมืออาชีพที่พร้อมให้คำปรึกษาการจัดการออเดอร์และสต๊อกสินค้ากับคุณ
สนใจใช้ระบบจัดการร้านค้าครบวงจร
โทร 02-026- 6423
Line: @zort