โน้วน้าวใจลูกค้าด้วย Marketing Psychology กลยุทธ์เด็ดที่นักการตลาดชอบใช้!
เคยไหมเวลาเห็นโฆษณาหรือคำโปรยโปรโมชันต่าง ๆ แล้วรู้สึกอยากซื้อในทันที ถึงแม้ว่าราคาจะไม่ได้ถูกขนาดนั้น แต่ก็อยากซื้อมาลองใช้สักชิ้น สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความรู้สึกเหล่านี้ก็คือ “จิตวิทยาการตลาด” (Marketing Psychology) ที่เหล่านักการตลาดใช้เพื่อโน้มน้าวใจของกลุ่มเป้าหมายให้กลายมาเป็นลูกค้าของแบรนด์ และมีหลายแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจากการใช้กลยุทธ์นี้มาแล้ว มาทำความเข้าใจกันเลยว่า จิตวิทยาการตลาดคืออะไร แล้วมีประโยชน์ยังไงบ้าง
Highlight & Summary
- Marketing Psychology คือ การใช้ทฤษฎีทางหลักจิตวิทยาเพื่อโน้มน้าวใจคน มาจากการศึกษาและทำความเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค
- การใช้จิตวิทยาการตลาดช่วยให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์ เพราะมองว่าแบรด์สามารถตอบสนองความต้องการได้ มีโอกาสที่พวกเขาจะกลับมาใช้บริการหรือซื้อซ้ำอยู่บ่อย ๆ
- เวลาเห็นคำโฆษณา “จำนวนจำกัด 10 ชิ้น” หรือ “สินค้าใกล้หมด” แล้วรู้สึกอยากซื้อในทันที ถือเป็นหลักการจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่เรียกว่า Scarcity
จิตวิทยาการตลาด คืออะไร
จิตวิทยาการตลาด หรือ Marketing Psychology คือ การใช้ทฤษฎีทางหลักจิตวิทยามาดึงดูงใจลูกค้า ซึ่งหลักการเหล่านั้นต้องสอดคล้องกับความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อให้พวกเขารู้สึกสนใจและตัดสินใจสินค้าของแบรนด์ไปโดยไม่รู้ตัว และไม่รู้สึกว่าถูกแบรนด์กดดันให้ซื้อ
ตัวอย่างเช่น เราเห็นแพ็กเกจสินค้าแล้วรู้สึกว่าสวย สีสันสดใส หรือเห็นราคาแล้วรู้สึกว่าคุ้มค่าจนอยากซื้อ สิ่งเหล่านี้มีจิตวิทยาการตลาดอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น โดยนักการตลาดต้องทำความเข้าใจนิสัยและเหตุผลในการตัดสินใจซื้อของลูกค้าก่อน แล้วเลือกใช้หลักการจิตวิทยาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่สุด
Marketing Psychology มีประโยชน์ต่อแบรนด์อย่างไร
ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีจากแบรนด์
เพราะจิตวิทยาการตลาดมาจากการทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี ทำให้พวกเขารู้สึกว่าแบรนด์นี้สามารถตอบสนองความต้องการได้ เป็นการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้าในระยะยาว
เพิ่มยอดขายสินค้าในระยะยาว
เมื่อลูกค้าเริ่มรู้สึกผูกพันกับแบรนด์แล้ว ก็จะเพิ่มโอกาสเปลี่ยนจากลูกค้าทั่วไปเป็นลูกค้าประจำ และเป็นการเพิ่มยอดขายสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพราะกลับมาซื้อซ้ำอยู่เรื่อย ๆ และถ้าเลือกใช้จิตวิทยาได้เหมาะสมกับทุกแคมเปญการตลาด เมื่อแบรนด์ออกสินค้าใหม่ ๆ ก็มีแนวโน้มที่คนจะสนใจและอยากซื้ออยู่เสมอด้วย
5 กลยุทธ์จิตวิทยาการตลาดยอดฮิตของนักการตลาด มีอะไรบ้าง
การที่ผู้บริโภคจะเลือกซื้อสินค้าหรือบริการสักอย่างนั้น แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่มักจะคำนวณความคุ้มค่าจากราคา แต่บางครั้งคนเราก็ไม่ได้ใช้เหตุผลหรือหลักการเสมอไป ในทางกลับกันอารมณ์ช่วยคนตัดสินใจซื้อได้เร็วกว่าด้วยซ้ำ จิตวิทยาการตลาดก็ได้นำจุดนี้มาเพื่อล่อใจผู้บริโภคนั่นเอง ซึ่งกลยุทธ์ Marketing Psychology ที่เหล่านักการตลาดชอบใช้ มีดังต่อไปนี้
1. หลักฐานทางสังคม (Social Proof)
สมมติว่าอยากได้ลิปสติกใหม่สักแท่ง เราก็จะหาคลิปที่อินฟลูเอนเซอร์รีวิวสี เนื้อสัมผัส หรือราคาก่อนตัดสินใจซื้อ สิ่งนี่แหละคือ Social Proof การหาแหล่งอ้างอิง ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อประกอบการตัดสินใจและเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเราที่สุด ซึ่งผู้บริโภคกว่า 95% เผยว่ารีวิวทั้งเชิงบวกและเชิงลบมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของพวกเขาเป็นอย่างมาก
2. การแลกเปลี่ยน (Reciprocity)
เป็นหลักการจิตวิทยาการตลาดแบบง่าย ๆ ถ้าแบรนด์ไหนเป็นฝ่ายมอบอะไรบางอย่างให้ลูกค้าก่อน พวกเขาก็มีโอกาสที่จะตอบแทนบางอย่างกลับมาด้วย เช่น มีบูธทดลองให้ชิมสินค้า มอบตัวอย่างสินค้าให้ฟรี หรือมีส่วนลดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงแค่บอกต่อหรือกดไลก์เพจ ลูกค้าก็จะเริ่มสนใจสินค้า อาจสมัครเป็นสมาชิกของแบรนด์ไปจนถึงขั้นตัดสินใจซื้อได้เลย
3. การยึดมั่น (Anchoring Bias)
ลูกค้ามักจะยึดติดกับข้อมูลแรกที่ได้รับและใช้มันเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อ หลักจิตวิทยาการตลาดนี้เหมาะกับการใช้ตั้งราคาสินค้าหรือบริการ ต้องทำให้เห็นว่าพวกเขาจะประหยัดเงินไปได้มากเท่าไหร่ หากซื้อสินค้านี้ไป เช่น ระบบจัดส่งสินค้า ZORT Shipping แพ็กเกจ 3 เดือนอยู่ที่ 299 บาท แต่ถ้าคุณสมัครบริการแบบรายปีจะมีราคาแค่ 999 บาทเท่านั้น เป็นต้น
4. ความขาดแคลน (Scarcity)
ยิ่งของมีน้อยเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีค่า Scarcity เป็นการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องรีบซื้อสินค้าในทันที ไม่งั้นอาจไม่ได้ซื้ออีก เช่น การจำกัดจำนวนสินค้า กำหนดระยะเวลาขาย ลดราคาแค่ 3 วัน หรือการขึ้นคำโปรโมตว่า “สินค้าใกล้จะหมดแล้ว” หรือ “เหลือไม่ถึง 10 ชิ้น” จะเพิ่มช่วยยอดขายอย่างรวดเร็ว โดยต้องไม่โกหกลูกค้าว่าสินค้าหมดแล้ว แต่ดันผลิตล๊อตใหม่และใช้กลยุทธ์เดิม จะทำให้ลูกค้าไม่เชื่อใจอีกและส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์แบรนด์ด้วย
5. ยิ่งเห็นก็ยิ่งชอบ (Mere Exposure Effect)
เวลาเล่น Social Media แล้วได้ยินเพลงไหนบ่อย ๆ แม้ว่าจะไม่ใช่แนวเพลงที่ชอบ แต่ก็ดันติดอยู่ในหัวแบบไม่รู้ตัวแถมร้องตามได้ทุกท่อน หรือเห็นโฆษณาเจ้านี้บ่อย ๆ จนอยากไปซื้อมาลอง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น Mere Exposure Effect รวมถึงการซื้อสินค้าเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เพราะรู้สึกคุ้นเคย แบรนด์อาจนำไปประยุกต์ด้วยการทำ Music Ads ที่ทำนองติดหู หรือขยันโพสต์คอนเทนต์บ่อย ๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกคุ้นชินกับแบรนด์ และเกิดการขายได้ในที่สุด
สรุป
ตัวอย่างกลยุทธ์ Marketing Psychology ที่เราอธิบายไปนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีหลักการจิตวิทยาอีกมากมายที่คุณสามารถนำมาใช้แคมเปญการตลาดได้ คำแนะนำคือให้เลือกกลยุทธ์ให้เหมาะประเภทสินค้าและบริการ รวมไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญคือต้องเลือกกลยุทธ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด มิเช่นนั้นแทนที่จะได้ลูกค้าอาจจะเสียลูกค้าไปแทน
สนใจใช้ระบบจัดการร้านค้าครบวงจร
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร 02-026-6423
Line: @zort